โรคเกาต์

ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์

โรคเกาต์คือโรคที่มีการอักเสบของข้อ เกิดจากการมีกรดยูริกในกระแสเลือดสูงเป็นระยะเวลานานและแพร่เข้าสู่ ข้อ กลายเป็นผลึกเกาต์สะสมในข้อ ซึ่งผลึกเกาต์เปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ร่างกายจะตอบสนองโดยเกิด การอักเสบของข้อขึ้น โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรังและมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ การวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องจะสามารถ ควบคุมไม่ให้เกิดการอักเสบและป้องกันการทําลายข้อได้

สาเหตุ

เกิดจากร่างกายผลิตกรดยูริกสูงเกินหรือกําจัดออกจากร่างกายได้น้อยกว่าปกติ

กรดยูริกมาจากไหน

กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายของสารพิวรีนซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย หรือพบมากในอาหารบาง ประเภท ร่างกายจะขับกรดยูริกโดยผ่านทางไตและปัสสาวะเพื่อควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับกรดยูริกที่ปกติ ในร่างกายจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

ปัจจัยเสี่ยง

  • เพศ พบในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิง
  • อายุ มักพบในช่วงอายุ 30-45 ปีในเพศชาย เพศหญิงมักพบในช่วงอายุ 55-70 ปีหรือหลังหมดประจําเดือน • ประวัติครอบครัว ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นเกาต์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมากขึ้น
  • โรคประจําตัวบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต
  • การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ยาละลายลิ่มเลือด
  • พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์

อาการ

ข้อที่อักเสบจะมีอาการปวดและบวม อาจมีลักษณะแดงหรือร้อนได้ ข้อที่พบบ่อยคือข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า และข้อเข่า อาการปวดจะเป็นทันทีและรุนแรง อาจจะยืนหรือเดินลงน้ำหนักไม่ได้ การอักเสบกินระยะเวลาประมาณ 3-10 วันแล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นช้าๆ แต่ถ้ารับการรักษาอาการจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดการอักเสบ กําเริบซ้ำได้อีก โดยอาการอาจจะรุนแรงขึ้นและเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นมากขึ้นอาจเกิดการทําลายผิวข้อ ทําให้ผิวข้อสึก เกิด อาการปวดข้อเรื้อรังหรือข้อผิดรูปได้ ในกรณีที่ระดับกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดการแพร่เข้าสู่และสะสมใน เนื้อเยื่อตามบริเวณต่างๆ ในร่างกาย ทําให้มีลักษณะเป็นก้อนใต้ผิวหนัง เช่นบริเวณใบหูรอบๆข้อหรือเส้นเอ็นของนิ้วมือ หรือนิ้วเท้า เกิดการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อบริเวณนั้น บางครั้งก้อนอาจแตกออกมานอกผิวหนังและเกิดการอักเสบติด เชื้อซ้ำได้ ถ้าสะสมที่ไตอาจทําให้เกิดนิ่วในไตหรือไตวายได้

ภาพแสดงการอักเสบฉับพลันของข้อนิ้วหัวแม่เท้า
ภาพแสดงการสะสมของผลึกเกาต์บริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า และข้อศอก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาเบื้องต้น อาจต้องตรวจเลือด คระดับของกรดยูริกเพื่อประกอบการวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยที่ดีที่สุดคือการตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกเกาต์

โรคเกาต์สามารถวินิจฉัยจากการตรวจเลือดได้หรือไม่

มีความเข้าใจผิดกันมาก ว่าการตรวจเลือดเพื่อหาระดับกรดยูริกเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคเกาต์ ความจริงแล้วการ ตรวจเลือดนั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยเท่านั้น การตรวจพบระดับกรดยูริกในเลือดสูงเพียงอย่าง เดียวไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป ยังมีสาเหตุอื่นๆอีกที่ทําให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงโดยที่ ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคเกาต์

การรักษาประกอบด้วย

1. การลดการอักเสบและอาการปวดในช่วงที่กําเริบ ควรลดการใช้งานของข้อลง ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม ยกข้อให้
สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น ถ้าข้อเข่าหรือข้อเท้าอักเสบให้ยกขาสูงเวลานอน

2. การป้องกันการอักเสบซ้ำและการลดปัจจัยเสี่ยงของการสะสมผลึกเกาต์ในข้อและในเนื้อเยื่อ และป้องกันการทําลายข้อ ในระยะยาว โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย

  • การออกกําลังกายและควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มรสหวาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง

3. การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาสั่งและปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยยาที่ใช้มีหลายชนิด ได้แก่

  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดการอักเสบและอาการปวด ใช้เป็นครั้งคราวช่วงสั้นๆเมื่อมีการอักเสบ
  • ยาป้องกันโรคเกาต์กําเริบ แพทย์มักจะสั่งให้รับประทานในขนาดน้อยๆ ต่อเนื่องไปจนกว่าข้ออักเสบจะไม่กําเริบ
  • ก้อนผลึกเกาต์ใต้ผิวหนังยุบหายไปและระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน
  • ยาลดกรดยูริก ได้แก่ ยาลดการสร้างกรดยูริกและยาขับกรดยูริก แพทย์จะตัดสินใจเลือกให้ตามความเหมาะสม

อาหารที่มีสารพิวรีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกรดยูริก

อาหารที่มีสารพิวรีนสูง (มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรงด

  • เครื่องในสัตว์ เช่น หัวใจ ตับ ตับอ่อนเซี่ยงจี้ ก็น สมอง
  • เนื้อสัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด ห่าน
  • ปลาอินทรีย์ ปลาซาดีน ปลาขนาดเล็ก ปลาไส้ตัน ปลาดุก ไข่ปลา กะปิ หอย กุ้ง
  • น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน
  • ถั่วดํา ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
  • เห็ด กระถิน ชะอม สะเดา หน่อไม้ฝรั่ง

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง(50 – 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรจํากัด

  • เนื้อหมู เนื้อวัว
  • ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู
  • ถั่วลิสง เมล็ดถั่วลันเตา ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม ยอดแค กะหล่ำดอก ตําลึง

อาหารที่มีสารพิวรีนต่ำ (0 – 50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) สามารถรับประทานได้

  • นม ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่
  • ผักและผลไม้