โรคกระดูกพรุนคืออะไร

โรคกระดูกพรุนคืออะไร

“ภัยเงียบในตัว ที่ป้องกันได้”

โรคกระดูกพรุนคืออะไร

คือภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างของกระดูกเสื่อมลง ทําให้กระดูก เปราะบาง และมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย พบบ่อยในผู้สูงอายุหรือหญิงวัยหมดประจําเดือน

บริเวณกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลัง
ภาพแสดง โครงสร้างของกระดูกปกติเปรียบเทียบกับกระดูกพรุน
บริเวณกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลัง

โรคกระดูกพรุน อันตรายอย่างไร

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดคือกระดูกหัก บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ กระดูกหักจะทําให้เกิดอาการปวดมากจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ ต้องพัก รักษาตัวเป็นเวลานานทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ปอด อักเสบ แผลกดทับ ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นเหตุให้สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว อาจ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ภาพถ่ายรังสีแสดงกระดูกหักที่กระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือและกระดูกสะโพก

มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง

  1. ผู้สูงอายุ
  2. ผู้หญิงวัยหมดประจําเดือนหรือตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
  3. การกินอาหารที่มีแคลเซียมน้อย
  4. กรรมพันธุ์ มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
  5. เชื้อชาติ พบมากในคนผิวขาวหรือชาวเอเชีย
  6. สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟปริมาณมาก
  7. ขาดการออกกําลังกาย
  8. น้ำหนักตัวน้อย รูปร่างผอม
  9. โรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน ขาดวิตามินดี โรคไทรอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  10. ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยากันชัก ยาขับปัสสาวะ

อาการของโรคกระดูกพรุน

ระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังโก่งค่อม ความสูง ลดลง กระดูกหักง่ายกว่าคนปกติแม้ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรง

ภาพแสดงภาวะหลังโก่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ
จากการยุบตัวของกระดูกสันหลัง

การวินิจฉัย

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงและสงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนควรปรึกษาแพทย์ และตรวจวัดความ หนาแน่นของกระดูกโดยใช้เครื่องวัดมวลกระดูกเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การป้องกันโรคกระดูกพรุน

ในคนปกติ หลังอายุ 40 ปี ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกจะลดลง ดังนั้นจึงควรเสริมสร้างให้ เนื้อกระดูกแข็งแรง โดยปฏิบัติดังนี้

  1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเล็กที่กินได้ทั้งก้าง งาดํา ถั่วต่างๆ เต้าหู้ ผักใบเขียวเช่น ผักโขม คะน้า ใบชะพลู ใบยอ
  2. ลดอาหารที่มีไขมันมาก เนื่องจากไขมันจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
  3. ออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สม่ำเสมอ เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เพศและวัย เช่น เดิน วิ่ง เหยาะๆ รํามวยจีน เต้นรํา
  4. ควรงดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน
  5. ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดทําให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง เช่น ยารักษาไทรอยด์ ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจําทุกปี

การรักษาด้วยยา

ปัจจุบันมียารักษาโรคกระดูกพรุน 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. ยาช่วยลดการทําลายกระดูก เช่น แคลเซียม บิสฟอตฟาเนต ฮอร์โมนแคลซิโตนิน
  2. ยาช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูก เช่น ฮอร์โมนพาราไทรอยด์เทอริพาราไทด์
  3. ยาที่ช่วยทั้งกระตุ้นการสร้างและลดการทําลายกระดูก เช่น สตรอนเทียมรานิเลต

การใช้ยาควรปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด